ปุ๋ยอินทรีย์ หมายถึง ปุ๋ยที่เกิดจากการหมักหรือย่อยสลายของพืชและสัตว์ รวมทั้งของเสียจากพืชและสัตว์ ปุ๋ยอินทรีย์สามารถให้สารอาหารต่างๆ ที่พืชต้องการและปรับปรุงโครงสร้างของดินได้ ปุ๋ยเคมี คือ ปุ๋ยที่ผลิตขึ้นโดยการสังเคราะห์หรือสกัดทางเคมี และส่วนใหญ่ให้สารอาหารชนิดเดียวหรือหลายชนิด ปุ๋ยอินทรีย์ มีลักษณะเด่นคือ ให้ผลเร็วและใช้งานง่าย
1. ที่มา : ปุ๋ยอินทรีย์มาจากสารอินทรีย์ในธรรมชาติ ในขณะที่ปุ๋ยเคมีมาจากแร่ธาตุหรือการสังเคราะห์ทางเคมี
2. ปริมาณสารอาหาร : ปุ๋ยอินทรีย์มีสารอาหารและธาตุอาหารรองหลายชนิดและสามารถเพิ่มอินทรียวัตถุในดินได้ ในขณะที่ปุ๋ยเคมีโดยปกติจะมีธาตุเพียงชนิดเดียวหรือปริมาณเล็กน้อย และไม่มีผลต่อการปรับปรุงโครงสร้างของดิน
3. ผลการใช้ : ปุ๋ยอินทรีย์จะปลดปล่อยผลอย่างช้าๆ แต่สามารถให้สารอาหารแก่ดินได้อย่างต่อเนื่อง ปุ๋ยเคมีสามารถเพิ่มการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างรวดเร็ว แต่การใช้ในระยะยาวอาจนำไปสู่ภาวะดินเสื่อมโทรมได้
ข้อดีของปุ๋ยอินทรีย์ : ส่งเสริมการทำงานของจุลินทรีย์ในดิน เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ลดโรคพืช
ข้อเสียของปุ๋ยอินทรีย์ : ใช้เวลานานจึงจะได้ผล ต้องใช้ปริมาณมาก และมีราคาค่อนข้างแพง
ข้อดีของปุ๋ยเคมี : ปุ๋ยมีผลเร็ว ควบคุมง่าย มักคุ้มทุน เหมาะสำหรับเพิ่มผลผลิตอย่างรวดเร็วในระยะสั้น
ข้อเสียของปุ๋ยเคมี : การใช้มากเกินไปทำให้เกิดมลพิษในดินและทำลายโครงสร้างดิน การใช้ในระยะยาวอาจส่งผลให้ความยั่งยืนของดินลดลง
การผสมผสานคุณสมบัติของปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีเข้ากับการใช้ปุ๋ยตามหลักวิทยาศาสตร์ถือเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุเกษตรกรรมที่ยั่งยืน ขอแนะนำกลยุทธ์ต่อไปนี้:
โดยสรุปแล้ว ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน การใช้ปุ๋ยทั้งสองอย่างอย่างสมเหตุสมผลสามารถปรับปรุงผลผลิตทางการเกษตรและสุขภาพของดินได้ สำหรับการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืน ในระยะยาว การให้ความสำคัญกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้นจะช่วยรักษาสมดุลทางนิเวศวิทยาและปรับปรุงคุณภาพและผลผลิตของพืชผล